เมนู

บทว่า อากาเสเยว สกุณานํ ปทํ ตสฺส ทุรนฺวยํ ความว่า
รอยเท้าของนกทั้งหลายที่บินไปในอากาศ อันบุคคลไม่สามารถเพื่อจะรู้ได้ว่า
นกทั้งหลายใช้เท้าเหยียบในที่นี้แล้วบินไป กระทบที่ตรงนี้ด้วยท้องแล้วบินไป
กระทบที่ตรงนี้ ด้วยศีรษะแล้วบินไป กระทบที่ตรงนี้ ด้วยปีกแล้วบินไป ดังนี้
ฉันใด สำหรับภิกษุเห็นปานนี้ ก็ฉันนั้น อันบุคคลไม่สามารถเพื่อจะรู้ได้ว่า
ไปแล้วในทางทั้งหลาย มีทางนรกเป็นต้น ด้วยทางชื่อนี้ ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาวิชยเถรคาถา

3. เอรกเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระเอรกเถระ


[230] ได้ยินว่า พระเอรกเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ดูก่อนเอรกะ กามเป็นทุกข์ ดูก่อนเอรกะ กาม
ไม่เป็นสุขเลย ผู้ใดใคร่กาม ผู้นั้น ชื่อว่าใคร่ทุกข์ ผู้
ใดไม่ใคร่ถาม ผู้นั้น ชื่อว่า ไม่ใคร่ทุกข์.

อรรถกถาเอรกเถรคาถา


คาถาของท่านเอรกเถระ เริ่มต้นว่า ทุกฺขา กามา เอรกา. เรื่อง
ราวของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ
สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ มาก บังเกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สิทธัตถะ ถึงความเป็นผู้รู้แล้ว วันหนึ่ง
เห็นพระศาสดา เป็นผู้มีใจเลื่อมใส เมื่อหาอะไร ๆ ที่ควรถวายพระบรม

ศาสดาไม่ได้ จึงคิดว่า เอาเถิด เราจะเอาร่างกายบำเพ็ญบุญ ดังนี้แล้ว แผ้ว
ถางทางเสด็จพระดำเนินของพระศาสดา กระทำให้เรียบเสมอ. พระศาสดา
เสด็จดำเนินไปสู่ทางที่เขากระทำไว้แล้วอย่างนั้น. เขาเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จไปที่ทางนั้น เป็นผู้มีใจเลื่อมใส ถวายบังคมแล้วประคองอัญชลี แล้ว
เป็นผู้มีจิตเลื่อมใส จนกระทั่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จล่วงทัสนูปจาร ก็ไม่ละ
ปีติมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ได้ยืนอยู่แล้ว.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาบังเกิดในเทวโลก กระทำบุญแล้วท่องเที่ยว
ไป ๆ มา ๆ อยู่แต่ในสุคติภพอย่างเดียวเท่านั้น เกิดเป็นบุตรของกุฏุมพี
ชื่อว่า สัมภาวนียะ ในพระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้ มีนามว่า
เอรกะ เป็นผู้มีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ใน
กิจการใหญ่น้อยทั้งหลาย. มารดาบิดาของเขา นำหญิงสาวที่สมควรกัน ด้วย
ตระกูล รูปร่าง มรรยาท วัย และความฉลาด มาทำการวิวาหะ เขาอยู่ใน
เรือนโดยร่วมสังวาสกับนาง แล้วเกิดความสลดใจในสงสาร ด้วยอารมณ์อัน
เป็นที่ตั้งแห่งความสลดใจบางประการ เพราะเป็นภพสุดท้าย ไปสู่สำนักของ
พระศาสดา ฟังธรรมแล้ว ได้มีจิตศรัทธาบวชแล้ว. พระศาสดาได้ทรงประทาน
กรรมฐานแก่เขา. เขาเรียนกรรมฐานแล้ว ถูกความกระสันครอบงำ โดยผ่าน
ไปไม่กี่วันอยู่แล้ว ลำดับนั้น พระศาสดาทรงทราบความเป็นไปแห่งจิตของ
ท่าน ได้ตรัสพระคาถาเป็นพระโอวาทว่า ทุกฺขา กามา เอรก ดูก่อนเอรกะ
กามเป็นทุกข์ ดังนี้เป็นอาทิ. ท่านฟังคาถานั้นแล้ว เกิดความสลดใจว่า การ
ที่เราเรียนกรรมฐานในสำนักของพระศาสดาเห็นปานนี้ แล้วสละกรรมฐานนั้น
อยู่อย่างผู้มากไปด้วยมิจฉาวิตก นั้น ชื่อว่า กระทำกรรมอันไม่สมควรเลย
ดังนี้ แล้วหมั่นประกอบวิปัสสนา บรรลุพระอรหัต ต่อกาลไม่นานนัก. สม
ดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ ในอปทานว่า

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระจักษุเสด็จไปสู่ท่า
น้ำแล้ว เสด็จดำเนินไปสู่ป่า เราได้เห็นพระสัมมาสัม
พุทธเจ้า ทรงพระนามว่า สิทธัตถะ มีพระลักษณะ
อันประเสริฐพระองค์นั้น จึงได้ถือเอาจอบและปุ้งกี๋มา
ปราบหนทางให้ราบเรียบ เราได้ถวายบังคมพระศาสดา
แล้ว ยังจิตของตนให้เลื่อมใส ในกัปที่ 94 แต่ภัทร
กัปนี้ เราได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เรา
ไม่รู้จักทุคติเลย ในกัปที่ 57 แต่ภัทรกัปนี้ เราได้
เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ จอมประชา องค์หนึ่งมี
นามว่า สุปปพุทธะ เป็นนายก เป็นใหญ่กว่านระ
เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯ ล ฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า
เรากระทำสำเร็จแล้ว
ดังนี้.
ก็พระเถระครั้นเป็นพระอรหันต์แล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผลได้
กล่าวซ้ำพระคาถาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วนั่นแหละ ว่า
ดูก่อนเอรกะ กามเป็นทุกข์ ดูก่อนเอรกะ กาม
ไม่เป็นสุขเลย ผู้ใดใคร่กาม ผู้นั้นชื่อว่า ใคร่ทุกข์
ผู้ใดไม่ใคร่กาม ผู้นั้นชื่อว่า ไม่ใคร่ทุกข์
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุกฺขา กามา ความว่า วัตถุกามและ
กิเลสกามเหล่านี้ ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ และเพราะมีวิปริ-
ณามทุกข์ และสังขารทุกข์เป็นสภาพ คือยังทุกข์ให้เกิดขึ้นแน่นอน. สมดังคำ
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ มีอาทิว่า กามมีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก มีความ
คับแค้นมาก ในกามนี้ ไม่มีโทษ (อะไร) จะยิ่งไปกว่า.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกพระเถระนั้นว่า เอรกะ เป็นครั้งแรก
ก่อน แต่ภายหลัง พระเถระจึงเรียกตนเองโดยนามว่า เอรกะ.
บทว่า น สุขา กามา ความว่า ขึ้นชื่อว่ากามนี้ ไม่เป็นความสุข
เลย สำหรับบุคคลผู้รู้อยู่ แต่สำหรับคนไม่รู้ ย่อมปรากฏโดยเป็นสุข. สมดัง
ที่ท่านกล่าวไว้ มีอาทิว่า ผู้ใดเห็นความสุข โดยเป็นทุกข์ ผู้นั้นชื่อว่าได้เห็น
ทุกข์ โดยความเป็นลูกศร.
บทว่า โย กาเม กามยติ ทุกฺขํ โส กามยติ ความว่า สัตว์
ผู้ใด ใคร่กิเลสกาม และ วัตถุกาม ความใคร่นั้นของสัตว์ผู้นั้น ย่อมเป็น
ไปเพื่อความเร่าร้อนในปัจจุบัน ทั้งชื่อว่า เป็นทุกข์ในเวลาต่อไป เพราะเป็น
เหตุแห่งทุกข์ในอบาย และเหตุแห่งทุกข์ในวัฏฏะ. ก็วัตถุกาม ชื่อว่าเป็นที่
ตั้งแห่งทุกข์ ด้วยประการฉะนี้. สัตว์ผู้นั้น ท่านจึงเรียกว่า ใคร่วัตถุกาม
ที่มีทุกข์เป็นสภาพ มีทุกข์เป็นนิมิต และเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์. ทุกข์นอกนี้
ท่านกล่าวไว้ เพื่อให้รู้เนื้อความนั้นแหละ โดยตรงข้าม เพราะฉะนั้น ใจ
ความของทุกข์นั้น พึงทราบโดยปริยายดังที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้ว.
จบอรรถกถาเอรกเถรคาถา

4. เมตตชิเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระเมตตชิเถระ


[231] ได้ยินว่า พระเมตตชิเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ขอนอบน้อม แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นศากย-
บุตร ผู้มีพระสิริพระองค์นั้น พระองค์ผู้ถึงแล้วซึ่ง
ธรรมอันสูงสุด ได้ทรงแสดงอัครธรรมนี้ ด้วยดี.